สูตรสำเร็จ สร้างเด็กอัจฉริยะ…เพื่อนๆเชื่อมั้ยว่าเราสามารถปลูกมันในตัวของลูกเราได้!!! และมันมีสูตรของมันอยู่

Please enter a valid URL
สูตรสำเร็จ สร้างเด็กอัจฉริยะ…
.
.
ใครๆก็อยากให้ลูกเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด เสียเงินเท่าไหร่ก็ยอมเท่าที่ทำได้ เริ่มจากบำรุงกันตั้งแต่อยู่ในท้อง จนออกมาก็เลือกอาหารการกินที่ดีที่สุด เลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่มีกำลังจะทำได้ แต่ปัญหาคือสิ่งที่เราทำหรือสิ่งที่เราเลือกให้ลูกนั้นมันถูกต้องจริงๆหรือ เราจะสร้างลูกให้เป็นอัจฉะริยะได้มั้ย หรือของแบบนี้มันมาตั้งแต่กำเนิด
.
.
หลังจากผมอ่านหนังสือมาหลายเล่มพอสมควร พร้อมกับทำการวิจัยเล็กๆกับเด็กหลายๆชาติที่โรงเรียนที่สอนอยู่(เป็นเวลา 6 ปี) ผมก็ค้นพบว่า อัจฉะริยะสร้างได้จริงๆด้วย ซึ่งอัจฉะริยะนั้นมีหลายด้านอีกด้วย ตามหลักของ Dr. Howard Gardner
.
.
แต่เพื่อนๆเชื่อมั้ยว่าเราสามารถปลูกมันในตัวของลูกเราได้!!! และมันมีสูตรของมันอยู่ แต่ว่าตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ถูกต้อง 100% หรือเปล่าและลูกๆของผมเองจะสามารถมีความอัจฉะริยะภาพด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆด้านได้จริงๆมั้ย เพราะคงต้องใช้เวลาพิสูจน์กันพอสมควร แต่สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังคือ สิ่งที่ผมอ่านจากหนังสือหลายๆเล่มและผลจากการทำวิจัยเล็กๆของผมนั้นมันสามารถสอดคล้องกันได้ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ!
.
.
ปลุกปั้นตั้งแต่อยู่ในท้อง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อรู้ตัวว่าตั้งท้องคุณแม่ทั้งหลายต้องเริ่มบำรุงร่างกายเพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้หมายความว่าให้กินมากกว่าปกตินะครับ เพียงแต่ให้เลือกในสิ่งที่กินอย่างพิถีพิถันมากขึ้น จะมามัวแต่กินตามใจปากคงไม่ได้แล้ว สิ่งแรกเลยที่ต้องตัดออกจากชีวิตในช่วงนั้นให้ได้ก็คือ น้ำอัดลม สิ่งนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำหนักพุ่งกระฉูดได้ อย่างที่สองคือของหมักดองต่างๆ พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายของคุณแม่และคุณลูก
.
.
อาหารที่จะแนะนำให้กินก็ต้องเป็นปลาอย่างแน่นอนครับ ปลามีหลายชนิดแต่ปลาที่ผมจะแนะนำคือ “ปลาทู” ครับ ปลาทูเป็นปลาที่ถูกและดีอย่างแท้จริง ปลาทูมี Omega 3 ในระดับที่สูงมาก(สูสีกับปลาแซลมอลเลยนะครับ) และไขมันต่ำ ซึ่งแน่นอนครับว่ามันมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองของเด็กอย่างแท้จริง อย่างที่สองที่จะแนะนำคือ “นมถั่วเหลือง”ครับ ผมไม่สนับสนุนนมวัวเพราะมันมีส่วนกระตุ้นทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ นมถั่วเหลืองก็มีแคลเซียมให้กับคุณแม่เช่นเดียวกัน แต่ถ้าแพ้ถั่วเหลืองก็อาจจะต้องเลือกนมชนิดอื่นๆเพื่อทดแทน
.
.
นอกจากอาหารแล้ว “เพลง” ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว อย่างที่ทุกคนรู้ครับว่าเพลงมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและอารมณ์ของเด็กเป็นอย่างมาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถหาอุปกรณ์ มาเปิดเพลงบรรเลงเพราะๆ ให้หนูๆฟังตั้งแต่ในท้องกันได้เลย โดยอาจจะหาเป็นหูฟังมาแปะไว้ที่ท้องของคุณแม่ก็ได้ และอย่าลืมที่จะคอยคุยกับลูกตั้งแต่เค้าอยู่ในท้องในยามว่างนะครับ ผมว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมากๆเลย บางวันก็อาจจะร้องเพลงให้เค้าฟัง บางวันก็เล่านิทาน บางวันก็สวดมนต์ สลับกันไปเรื่อยครับ อาจจะใช้เวลาช่วงก่อนนอนก็ได้ครับ
.
.
ผลลัพท์ที่ได้อย่างเห็นได้ชัดคือ… ในตอนที่ลูกคนโตงอแง ถ้าเปิดเพลงที่เคยเปิดให้เค้าฟังตอนอยู่ในท้องเมื่อไหร่เค้าจะหยุดร้องไห้ทันที!! แถมเค้าก็สามารถพูดได้ค่อนข้างไวมาก(แต่เริ่มเดินช้าเพราะตัวยาวและหัวโตด้วย 555 😊) ปัจจุบันลูกชายทั้งสองคนพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก (ไว้ผมจะอธิบายเพิ่มนะครับว่าสอนภาษาอังกฤษให้ลูกยังไงดี)
.
.
สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ “การเลี้ยงดู” หรือดูแลเอาใจใส่นั่นเอง ผมเชื่อว่าการมีลูกนั้นไม่ยากนักแต่การเลี้ยงดูลูกให้ดีนั้นยากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณต้องเลี้ยงลูกโดยไม่มีพี่เลี้ยง แม่บ้าน หรือ ผู้ช่วยท่านอื่นๆมาช่วย การเลี้ยงลูกให้ดีจึงต้องได้รับความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นหน้าที่ของทั้ง “พ่อ” และ “แม่” ที่จะให้เวลากับเค้า
.
.
เมื่อตอนที่เป็นครูอยู่โรงเรียนอินเตอร์ ผมได้สังเกตจากผู้ปกครองที่มีลูกเก่งๆ(ไม่ว่าชาติไหนก็ตาม) จะมีสองอย่างที่เหมือนๆกันคือ
1.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 2ปีขึ้นไป และ
2. ส่งลูกเข้าเรียนเมื่อถึงเวลาอันสมควรจริงๆ
.
.
ผมจะขอขยายความข้อที่สองเพิ่มนะครับ ผมได้เคยลองหาข้อมูลเพิ่มเติมและได้พบว่าในประเทศอังกฤษเค้าจะเริ่มส่งเด็กเข้าเรียนกันตอน 5 ขวบและในนอร์เวย์ (ประเทศที่ประชากรมีความเป็นอยู่ดีที่สุดในโลก) ส่งลูกเข้าเรียนจริงจังตอน 6 ขวบ!!! ใช่ครับ…อ่านไม่ผิด หกขวบ!!! (https://www.gov.uk/schools-admissions/applying) แต่ไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่มี Day care หรือ Nursery นะครับ บ้านเค้าก็มีเช่นกัน แต่เค้าจะสอนการอยู่ร่วมในสังคมและกิจกรรมสนุกๆเท่านั้น (https://en.wikipedia.org/wiki/Education_in_Norway)
.
.
หันกลับมามองบ้านเรา เด็กๆต้องบวกเลข ต้องท่องศัพท์ ต้องคัดลายมือ กันจนหัวฟูไปตามๆกันทั้งคุณลูกและคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นเมื่อเรามองประเทศที่พัฒนาแล้วเราจึงเห็นได้ว่าเด็กจะเก่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเริ่มเรียนเร็วกว่ากัน เพราะพ่อและแม่นี่หล่ะคือห้องสมุดชั้นดี คือคุณครูคนแรกของลูกๆ การที่เราได้เลี้ยงดูเค้าเองและให้เวลากับเค้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรักลูกเราเท่าเราแน่!
.
.
ผมเชื่อว่าถ้าเราลองถามเด็กๆและตั้งใจฟัง สิ่งที่พวกเค้าต้องการคงไม่ใช่โรงเรียนที่ดีที่สุด หนังสือที่สนุกที่สุด หรือ ของเล่นที่ดีที่สุด… แต่เค้าคงต้องการพวกเรา ผู้ซึ่งเป็นพ่อเป็นแม่ ได้อยู่ใกล้ๆกับเค้า สอนเค้า และคุยเล่นกับเค้า
.
.
อย่างลูกๆของผมเป็นเด็กที่มีจินตนาการค่อนข้างเยอะ และกล้าแสดงออก ค่อนข้างมีความมั่นใจในตัวเอง (แต่ดื้อเอาเรื่อง 555) อาจจะเป็นเพราะผมสอนให้เค้าได้คิดเอง สอนแบบผู้ใหญ่ให้อิสระในการจินตนาการ รับฟังในสิ่งที่เค้าพูด และ หาของเล่นเพื่อการศึกษาให้เล่น เพราะนี่คือแนวทางที่เราเห็นว่าลูกสนุกไปกับการเรียนรู้นั่นเอง วิธีที่จะสอนเค้าก็มีอยู่มากมายโดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่ข้อมูลหาง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ลองดูนะครับ ลองฟังเค้าดูแล้วคุณจะรู้ว่าพวกเค้ามีความคิดที่น่าทึ่งมากจริงๆ….

บทความจากเพจ Small World For Kids
ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย Ange “อังจู” สินค้าเด็กอันดับ1จากเกาหลี แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
เพจ https://www.facebook.com/SmallWorldForKids/
ลิ้งค์โพสต์ : https://www.facebook.com/SmallWorldForKids/photos/a.289419681168785/1113796462064432/

[seed_social]
  • Add a comment

    CHANGE LANGUAGE

    เลือกแสดงตามหมวดหมู่

    โหลดหน้าใหม่
    คัดลอกลิงก์

    แชร์หน้านี้